วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สามชุกตลาด๑๐๐ปี

“ถึงนามสามชุกท่า     ป่าดง       
เกรี่ยงไร่ได้ฟ้ายลง    แลกล้ำ
เรือค้าท่านั้นคง         ดอยเกรี่ยง เรียงเอย
รายจอดทอดท่าน้ำ    นับฝ้ายขายของฯ”

นี่คือ เนื้อหาตอนหนึ่งที่ "สุนทรภู่" กล่าวถึง "สามชุก" ไว้ในนิราศสุพรรณ กล่าวกันว่า ท่านสุนทรภู่ได้เดินทางมาค้างแรม ณ บ้านทึง ริมลำน้ำสุพรรณใกล้ ๆ กับสามชุก นอนพักบ้านตาทอง ยายนาค หลายคืน ดังนั้นเรื่องราวที่ท่านกล่าวถึงสามชุก เป็นเรื่องที่ออกมาจากการบอกเล่าของตาทองและยายนาค






ตามประวัติของเมืองสามชุก กล่าวไว้ว่า ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เดิมชื่ออำเภอ "นางบวช" ตั้งอยู่บริเวณ ตำบลนางบวช โดยมีขุนพรมสภา(บุญรอด) เป็นนายอำเภอคนแรก ซึ่งยังมีภาพถ่ายปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน


ต่อมาในปี 2457 ต้นรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายอำเภอมาตั้งที่บ้าน "สำเพ็ง" ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในสมัยนั้น จนกระทั่งปี 2481 สมัยรัชกาลที่ 8 ได้เปลี่ยนชื่อจาก "อำเภอนางบวช" มาเป็น "อำเภอสามชุก" และย้ายมาตั้งอยู่ริมลำน้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านคลองมะขามเฒ่า


แต่เดิมบริเวณที่ตั้งอำเภอสามชุกเรียกว่า "ท่ายาง" มีชาวบ้านนำของป่าจากทิศตะวันตกมาค้าขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ บ้างก็มาจากทางเหนือ บ้างก็มาจากทางใต้ เป็น 3 สาย จึงเรียกบริเวณที่ค้าขายนี่ว่า "สามแพร่ง" ต่อมาได้เพี้ยนเป็นสามเผ็ง และ สำเพ็ง ในที่สุด ดังปรากฎหลักฐานกล่าวไว้ในนิทานพื้นบ้านย่านสุพรรณ


มีเรื่องกล่าวต่อไปว่า ในระหว่างที่คนมารอขายสินค้าก็ได้ตัดไม้ไผ่มาสานเป็นภาชนะสำหรับใส่ของขาย เรียกว่า "กระชุก" ชาวบ้านจึงเรียกว่า "สามชุก" มาถึงปัจจุบัน


อำเภอสามชุกเดิม มีพื้นที่ 774.9 ตารางกิโลเมตร ต่อมาในที่ 2528 ได้มีการตั้งอำเภอหนองหญ้าไซ จึงแบ่งบางส่วนออกไป ยังคงเหลือเพียง 362 ตารางกิโลเมตร



































ส่วนเทศบาลตำบลสามชุก ได้ยกระดับมาจากสุขาภิบาลสามชุก ซึ่งบริเวณตลาดสามชุกริมแม่น้ำสุพรรณบุรีนี้ ในอดีตนอกจากเป็นแหล่งค้าขายของป่าแล้ว ยังเป็นแหล่งขายเกลือ ฝ้าย แร่ สมุนไพร ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะการแลกของต่อกัน มีชาวมอญ ลาว นำเกลือ มาแลกกับ ข้าวและของป่า เป็นต้น


ตลาดห้องแถวไม้ 2 ชั้นขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณบุรี(ท่าจีน) และรายล้อมด้วยบรรยากาศของบ้านเรือนรวมถึงเรื่องราวของผู้คนในอดีต โดยแทบไม่มีการดัดแปลงเสริมแต่ง ย้อนอดีตกลับไปยุคสมัยที่ตลาดสามชุกเฟื่องฟู ยุคนั้นชาวบ้านจะนำของพื้นเมือง รวมทั้ง เกลือ ฝ้าย แร่ สมุนไพร มาแลกเปลี่ยนซื้อขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือต่อมาเมื่อริมแม่น้ำสุพรรณ กลายเป็นแหล่งทำนาที่สำคัญ มีโรงสีไฟขนาดใหญ่เกิดขึ้นหลายแห่ง ตลาดสามชุกก็กลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญ มีการค้าขายกันอย่างคึกคัก ทำให้ตลาดสามชุกไม่จำกัดบริเวณอยู่เฉพาะริมน้ำ แต่ยังขยายมาถึงริมฝั่ง โดยแต่ละปีมีการเก็บภาษีได้จำนวนมาก พร้อมๆกับมีการตั้งนายอากรคนแรก ชื่อ “ขุนจำนง จีนารักษ์”
เฟื่องฟู ตลาดสามชุกในอดีตเจริญรุ่งเรืองมาตลอด เป็นย่านการค้าสำคัญแห่งหนึ่งของลำน้ำท่าจีน การคมนาคมสัญจรไปมาและขนส่งสินค้าใช้แม่น้ำท่าจีนเป็นเส้นทางหลัก

ซบเซา เริ่มตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา การคมนาคมทางบกเริ่มเข้ามามีบทบาทและมีการพัฒนสอย่างต่อเนื่อง ทำให้การคมนาคมทางน้ำค่อยๆหมดความสำคัญ ตลาดริมน้ำแห่งนี้เริ่มซบเซา เงียบเหงา ผู้คนเริ่มย้ายออกไปทำมาหากินที่อื่น
ฟื้นฟู   ปี 2543 มีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ขึ้นมาเพื่อหาแนวทางแก้ไข
ปี 2545 ตลาดสามชุกได้เข้าร่วมโครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ ของมูลนิธิชุมชนไท โดยการสนับสนุนของ พอช.สสส.
ปี 2546 ตลาดสามชุกได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 12 เมืองนำร่องโครงการปฏิบัติการชุมชนและเมืองน่าอยู่ 
ปี 2548 กิจกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์เป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากทุกวงการ จนได้รับคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ได้รับพระราชทานรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี





ปัจจุบัน ตลาดสามชุก การพัฒนาประสบความสำเร็จพอสมควร คนรู้จักในนาม สามชุก ตลาด 100 ปี "ตลาดมีชีวิต พิพิธภัณฑ์มีชีวา" เป็นแหล่งเรียนรู้การพัฒนาที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแท้จริง เป็นชุมชนเข้มแข็ง มีคนมาเที่ยว มาซื้อของ และมาศึกษาดูงานจำนวนมาก ทำให้สามชุกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง



ตลาดสามชุก เป็นตลาดเก่าแก่ได้รับการประกาศให้เป็นตลาด 100 ปี ในเชิงอนุรักษ์ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นตลาดสำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เมื่อถนนคือเส้นทางจราจรทางบกที่เข้ามาแทนที่การ เดินทางทางน้ำ ทำให้คนหันหลังให้กับแม่น้ำท่าจีน ความสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าริมน้ำเริ่มลดลง บรรยากาศการค้า ขายในตลาดสามชุกเริ่มซบเซา และเมื่อต้องแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และตลาดนัด ภายนอก ทำให้ร้านค้าภายในตลาดต้องหาทางปรับตัว และเมื่อราชพัสดุ เจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่าที่ดินมายาว นาน ดำริจะรื้ออาคารตลาดเก่า สร้างตลาดใหม่ จึงทำให้ชาวบ้านพ่อค้าที่อยู่ในตลาดสามชุก ครูอาจารย์ที่เห็นคุณค่าตลาดเก่า รวมตัวเป็นคณะกรรมการพัฒนา ตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ระดมความคิด หาทางอนุรักษ์ตลาดและที่อยู่ของตนไว้ และหาทางฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้น มา อีกครั้ง เป็นที่มาของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้การท่องเที่ยวศึกษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม ประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นเครื่องมือการพัฒนาอาคารไม้เก่าแก่ ในตลาดสามชุก ที่ก่อสร้างเป็นแนวตั้งฉากกับแม่น้ำ ท่าจีน เป็นสิ่งบอกให้รู้ว่าเป็นลักษณะของตลาดจีนโบราณ เป็นชุมชนชาวไทย-จีน ที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน


ลวดลายฉลุไม้ที่เรียกว่าลายขนมปังขิง ซึ่งเท่าที่พบในตลาดนี้มีถึง 19 ลาย คือ ศิลปะตกแต่งอาคารไม้โบราณ ที่หาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็ย่อมสูญหายไปเช่นเดียวกับตลาดโบราณอื่นๆนอก จากสถาปัตยกรรม อาคารไม้โบราณที่พบเห็นได้ตลอดแนวทางเดิน 2 ข้างทางเดินในตลาด วิถีชีวิตบรรยากาศ ภายในตลาดการค้าขายที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิมเช่นใน อดีต และบรรยากาศน้ำใจอัธยาศัยไมตรีของแม่ค้า ข้าวของเครื่องใช้ ขนมอาหารที่นำมาตั้งขายในตลาด เป็นสิ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่จำลองมา เพื่อให้ ผู้ชมได้ดูชั่วครั้งชั่วคราว แต่เหล่านี้คือ วัฒนธรรมที่สืบเนื่องจากอดีต บ่มเพาะมาเป็น 100 ปี นักท่องเที่ยวจะ สามารถสัมผัสได้ ไม่รู้เบื่อ อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มท้องอย่างไม่รู้ตัว และทำให้ตลาดสามชุก แห่งนี้ได้รับขนานนาม ว่าตลาด 100 ปี พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต













สิ่งที่น่าสนใจในตลาดสามชุก



เสน่ห์ของการเยี่ยมชมตลาดสามชุก คือการได้เดินชมความคลาสิคและความเก่าแก่ของ บ้านไม้อายุนับร้อยปี แต่แบบห้องแถวซึ่งมีทั้งชั้นเดียวและสองชั้น รวมทั้งรับประทานอาหารอร่อยๆซึ่งมีให้ชิมตลอดทาง ตลาดสามชุก จะมีซอยเล็กเริ่มตั้งแต่สามชุกซอย 1 – ซอย 4  ซึ่งแต่ละซอยก็จะอยู่ติดกันใช้ โดยในแต่ละซอยก็จะมีร้านค้าที่น่าสนใจแตกต่างกัน



ร้านและบ้านเก่าที่น่าสนใจของตลาดสามชุก

ซอย 2 ถือได้ว่าเป็นซอยที่ค่อนข้างคึกคักได้รับความสนใจของนักท่องเที่ยวในการถ่ายรูปมากที่สุด เนื่องจากเป็น มีบ้านไม้เก่าแก่และร้านค้าขายของเล่นและที่ระลึกตกแต่งแบบแนวมากมาย ร้านค้าชื่อดังในซอยนี้ ได้แก่

พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ นายภาษีอากรคนแรก และเจ้าของตลาดสามชุก เป็นบ้านไม้ขนาด 3 ชั้น มีการสร้างอย่างประณีตงดงาม แกะสลักไม้ด้วยลวดลายที่อ่อนช้อย ภายในมีรูปภาพเก่าๆ ที่บอกเล่าถึงความเป็น มาของชุมชนสามชุก รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน เมื่อครั้งยังมีชีวิตให้ชมอีกด้วย


















โรงแรมอุดมโชค โรงแรมเก่าแก่แห่งตลาดสามชุก ลักษณะเป็น อาคารไม้สองชั้น กั้นห้องออกเป็น 12 ห้อง เปิดใช้อยู่ 6 ห้อง เนื่องจากบางห้องไม่มีห้องน้ำในตัว ปัจจุบัน โรงแรมแห่งนี้ ไม่ได้เปิดบริการแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นร้านกาแฟ มีงานศิลปะ ให้ชมกัน


สามชุกซอย 3

ร้านถ่ายภาพศิลป์ธรรมชาติ เป็นร้านถ่ายรูป เก่าแก่แห่งที่ 2 ของตลาดสามชุก เปิดบริการมาเป็นเวลา กว่า 54 ปี

ร้านขายยาจีนร้านขายยาคนจีนเก่าแก่ประมาณ 70 กว่าปีมาแล้ว ภายในร้านอบอวล ด้วยยาโอสถสมุนไพรนับ พันๆ ชนิด มีดหั่นยาโบราณเครื่อง ชั่ง ลิ้นชักใส่ยา ลูกคิดและครกตำยาส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือตั้งแต่สมัยคุณพ่อ

ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ























มุมสวยต่างๆจากตลาด...











การเดินทาง..

1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากกรุงเทพฯ ผ่าน อ. บางบัวทอง จ. นนทบุรี ไปจนถึงตัว จ.สุพรรณบุรี ระยะทางประมาณ 107 กม. จากนั้นไป ตามหลวงหมายเลข 340 แยกเข้า อ. สามชุก ตัวตลาดอยู่ริมแม่น้ำสุพรรณติดกับที่ว่าการอำเภอสามชุก
2.รถโดยสารประจำทาง
มีรถปรับอากาศจาก สายใต้และหมอชิต สาย กรุงเทพ-สุพรรณ-ท่าช้างบอกลงสามชุก แล้วเดินข้ามสะพานประมาณ 100 เมตร
3. โดยรถตู้โดยสาร
มีรถตู้ไปสามชุก คิวรถอยู่ตรงข้ามกองสลาก รถวิ่งไปถึงหน้าตลาดสามชุกเลยค่ารถ คนละ 120 บาท 




ขอบพระคุณ แหล่งข้อมูล และรูปภาพ

อาจารย์ กฤตยา เสริมสุข  (คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก๑๐๐ปี)
ป้าหมู (คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก๑๐๐ปี)
คุณแก้วตา ทองฉ่ำ (คณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุก๑๐๐ปี)

ผู้จัดทำ
นายสุริวศ วิทยารักษ์ รหัสนักศึกษา ๕๓๐๒๐๐๘๗
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง